-สัตว์น้ำที่หายากเเละอาศัยอยู่ในมหาสมุทรเเปซิฟิก
เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังอาศัยอยู่ในทะเล เม่นทะเลเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้าไม่ดุร้าย ด้านที่เกาะกับพื้นเป็นปาก ทวารหนักอยู่กลางลำตัวด้านบนสุด เม่นทะเลจะมีหนามสองขนาด หนามขนาดยาวใช้ในการผลักดันพื้นแข็งขุดคุ้ยสิ่งต่างๆหรือช่วยในการฝังตัว หนามเล็กสั้นใช้ยึดเกาะเวลาปีนป่าย พวกมันอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆตามพื้นทราย ซอกหิน แนวหินประการัง และใต้ท้องทะเลระดับลึกๆ ในพื้นที่บริเวณอ่าวไทยพบเม่นทะเลกระจายอยู่ทั่วไป เม่นทะเลมักออกหากินในเวลากลางคืน กลางวันอาจพบได้เช่นเดียวกัน อาหารของเม่นทะเล คือสาหร่าย สัตว์ที่ตายแล้ว และสัตว์ไม่มีกระดูก
ทากทะเล มีลักษณะเด่น คือ ไม่มีเปลือกห่อหุ้มลำตัว เพราะเปลือกลดรูปจนมีขนาดเล็กคลุมตัวไม่มิด หรือไม่มีเปลือกเลย ทากทะเลส่วนใหญ่มีสีสวยสดงดงาม บางชนิดมีหลายสีบนตัวเดียวกัน และสามารถปรับสีของตัวให้เข้ากับสภาพของแหล่งอาศัย สีที่ฉูดฉาดของทากทะเลทำให้สัตว์อื่นหลีกเลี่ยงที่จะกินเป็นอาหาร เพราะทากทะเลจะสร้างสารเคมีที่เป็นพิษสะสมไว้ตามผิว เพื่อป้องกันตัว บางชนิดมีอวัยวะช่วยหายใจอยู่ทางด้านบนของหัวหรือลำตัว ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นเส้น เป็นกระจุก หรือเป็นแผ่น หรือคล้ายเขา และเป็นสัตว์ที่ไม่มีตาสำหรับการมองเห็น ส่วนมากอาศัยอยู่ในแนวปะการัง และบริเวณใกล้เคียง กินอาหารพวกสาหร่าย, ฟองน้ำ, ดอกไม้ทะเล, ปะการังอ่อน, กัลปังหา และเพรียงหัวหอม ทั่วโลกพบประมาณ 2,000 ชนิด ในน่านน้ำไทยสำรวจพบประมาณ 100 ชนิด เช่น ทากเปลือย เป็นต้น
ถึงแม้ว่าเจ้าแตงกวาทะเละเหมือนสัตว์ที่ใช้ชีวิตง่ายๆคลานไปทั่วพื้นทะเลอย่างช้าๆ เจ้านี้ก็มีความลับดำมืดอยู่อย่างนึงซึ่งก็คือการปล่อยสารเคมีพิษชื่อโฮโลธูรินออกมาเมื่อโดนรบกวนหรือทำร้าย ซึ่งสารเคมีนี้สามารถฆ่าหรือทำให้สัตว์แถวนั้นขยับร่างกายไม่ได้
มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนปลาไหลทั่วไป ไม่มีครีบอก ครีบหลังเชื่อมต่อกับครีบก้นและครีบหาง โดยมีจุดเด่นร่วมกันคือ มีส่วนปากที่แหลม ไม่มีเกล็ดแต่มีหนังขนาดหนาและเมือกลื่นแทน เหงือกของปลาไหลมอเรย์ยังลดรูป เป็นเพียงรูเล็ก ๆ อยู่ข้างครีบอกที่ลดรูปเหมือนกัน เลยต้องอ้าปากช่วยหายใจเกือบตลอดเวลา คล้ายกับการที่อ้าปากขู่ นอกจากนี้แล้วภายในกรามยังมีกรามขนาดเล็กซ้อนกันอยู่ข้างใน ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงคอหอย แต่จะออกมาซ้อนกับกรามใหญ่เมื่อเวลาอ้าปาก ใช้สำหรับจับและขบกัดกินอาหารไม่ให้หลุด
ปลาไหลมอเรย์เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน โดยการล่าเหยื่อด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทางกลิ่น ที่เป็นแท่งเล็ก ๆ ยื่นอยู่ตรงปลายปาก 2 แท่ง คล้ายจมูก ซึ่งอวัยวะส่วนนี้มีความไวต่อกลิ่นมาก โดยเฉพาะกลิ่นคาวแบบต่าง ๆ เช่น กลิ่นเลือดหรือกลิ่นของสัตว์ที่บาดเจ็บมีบาดแผล อาหารได้แก่ ปลาทั่วไป รวมถึงสัตว์ที่มีกระดองแข็งเช่น กุ้ง, กั้ง, ปู รวมถึงหมึกด้วย
โดยปกติแล้วปลาไหลมอเรย์จะอาศัยอยู่ตามโพรงหินหรือซอกปะการังในแนวปะการัง โดยยื่นแต่เฉพาะส่วนหัวโผล่ออกมาราว 1/4 ของความยาวลำตัว พร้อมกับอ้าปากส่ายหัว เพื่อป้องกันถิ่นที่อยู่อาศัยและหาเหยื่อ ที่จะออกมาว่ายน้ำนั้นจะเป็นช่วงเวลากลางคืนที่หาอาหาร
ปลาไหลมอเรย์มีกรามที่แข็งแรงและฟันที่แหลมคม แม้จะมีหน้าตาน่ากลัว แต่ไม่ใช่เป็นปลาที่ดุร้าย กลับกันกลับเป็นปลาที่รักสงบ แต่จะจู่โจมใส่ผู้ที่บุกรุก โดยหลายครั้งที่นักประดาน้ำไปเผลอรบกวนโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็อาจถูกกัดเป็นแผลเหวอะหวะถึงขั้นนิ้วขาดได้ เพราะฟันที่แหลมคมและการกัดที่ไม่ปล่อย และอีกช่วงที่ปลาไหลมอเรย์จะดุร้าย คือ ในฤดูผสมพันธุ์
ปลาไหลมอเรย์ มีทั้งหมดราว 70 ชนิด พบในทะเลเขตร้อนและอบอุ่นทั่วโลก ส่วนใหญ่มีสีสันและลวดลายสวยงามแตกต่างกันออกไปตามแตค่ละชนิดหรือสกุล แบ่งออกเป็น 2 วงศ์ย่อย ในบางชนิดที่มีขนาดเล็ก จะไม่ความยาวไม่เกิน 2 ฟุตและอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ขณะที่ชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Gymnothorax javanicus) ยาวได้ถึง 3 เมตร น้ำหนัก 36 กิโลกรัม
สำหรับ แฟงค์ทูธนั้นก็จะเป็นปลาที่มีรูปร่างที่น่าสยดสยองมากเลย ซึ่งปลาแฟงค์ทูธนั้นก็จะอาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึก และถึงแม้ว่ารูปร่างของมันนั้นจะมีรูปร่างเหมือนกันอย่างกับสัตว์ประหลาดนั้น แต่ว่าเมื่อมันมีการโตเต็มวัยนั้นมันก็จะมีความยาวเพียงแค่ 6 นิ้วเท่านั้น และลำตัวนั้นจะสั้นแต่ว่าจะมีหัวที่มีขนาดใหญ่ เป็นปลาที่มีฟันที่แหลมคมและยาว เหมือนกับเขี้ยวที่เรียงตัวกันอยู่ในปากที่มีขนาดใหญ่นั่นเอง แฟงค์ทูธ นั้นก็จะเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในใต้ทะเลน้ำลึกลงไปถึง 16,000 ฟุตเลยทีเดียว และด้วยความลึกขนาดนี้นั้นก็จะทำให้แรงดันน้ำนั้นมีระดับที่สูงและเย็นมากจนแทบที่จะเป็นน้ำแข็งเลยทีเดียว และในเรื่องของอาหารของแฟงค์ทูธนั้นก็จะหาได้ยาก มันจึงทำให้แฟงค์ทูธนั้นกินทุกอย่างที่ขว้างหน้าที่หากินได้ และสำหรับอาหารส่วนใหญ่แล้วนั้นก็จะตกลงมาจากทะเลด้านบนซึ่งปลาทะเลแฟงค์ทูธนี้นั้นก็จะสามารถที่จะพบเจอกับพวกมันได้ทั่วโลก ในเขตทภูมิภาคที่อบอุ่นและร้อนชื้น และก็ยังจะรวมไปถึงทวีปออสเตรเลียด้วยนั่นเอง
Lionfish ปลาสิงโต (Lionfish) เป็นปลาทะเลที่มีพิษ ในวงศ์ Scorpaenidae ภาษาละตินหมายถึง แมงป่อง มีหลายสปีชีส์ ใน 2 จีนัส คือ Pterois และ Dendrochirus มีครีบยาวและแตกแขนงออกมากมาย และมีลวดลายทางสีแดง สีน้ำตาล สีดำ หรือสีขาว อาศัยในทะเลเขตร้อนแถบอินโด-แปซิฟิก ค.ศ. 2003 ถูกพบในแนวปะการังเขตอบอุ่นทางตะวันออกของมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลแคริบเบียน
Tiger Shark ฉลามเสือ (Tiger shark) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Galeocerdo cuvier ฉลามเสือเป็นฉลามน้ำอุ่นที่อพยพเเละออกลูกเป็นตัวชนิดเดียวในวงศ์ Galeocerdo ฉลามเสือเป็นนักล่าขนาดใหญ่ที่อาจจะยาวได้ถึง 5เมตรซึ่งทำให้มันเป็นหนึ่งในฉลามขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งโดยปรกติเเล้ว มันจะโตเต็มวัยเมื่อมีความยาวประมาณ 2-3เมตร ฉลามเสือนั้นสามารถพบได้ในทะเลเขตร้อนทั่วไป ซึ่งพบมากในมหาสมุทรเเปซิฟิกตอนกลาง ฉลามเสือนั้นจะอยู่ในเส้นศูนย์สูตรตลอดฤดูหนาว เเละมักจะอยู่ในน้ำลึกที่บางทีอาจจะลึกได้ถึง 900เมตร เเต่บางครั้ง ฉลามเสือก็สามารถพบได้ในที่ไกลๆเช่น มหาสมุทรเเปซิฟิกตะวันตก, ญี่ปุ่นเหนือหรือนิวซีเเลนด์ ชื่อของฉลามเสือนั้นได้มาจากลายข้างตัวที่มีลักษณะเหมือนเสือซึ่งจะจางลงเมื่อโตขึ้น ฉลามเสือนั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่อันตรายต่อมนุษย์ที่สุดถึงเเม้ว่าจำนวนการโจมตีของมันนั้นจะต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ ฉลามเสือเป็นฉลามที่โจมตีเเละฆ่าคนบ่อยเป็นอันดับที่สองรองจากฉลามขาว เพราะความที่ฉลามเสือชอบว่ายน้ำไปในปะการังตื้น, ท่าเรือเเละลำคลองเพื่อตามล่าเหยื่อนี้เองที่เป็นสาเหตุของการโจมตี ถึงเเม้ว่าฉลามเสือจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ มันก็ยังได้รับสถานะเสี่ยงต่อการใกล้สูญพันธุ์ด้วยเหตุผลมาจากการล่าหูฉลาม, การประมงที่เกินพอดีเเละการล่าเอาตับที่มีไวตามิน Aสูง ฉลามเสือนั้นเป็นนักล่าสันโดษชั้นยอดที่ส่วนมากจะหากินตอนกลางคืน อาหารของมันนั้นมีหลากหลาย เช่น สัตว์กระดอง, ปลา, เเมวน้ำ, นก, ฉลามขนาดเล็กกว่า, หมึก, เต่า, งูทะเล, พะยูน, หอย, กระเบน, ซากวาฬหรือตัววาฬเองเเละโลมาซึ่งจะหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำไปในพื้นที่ๆมีฉลามเสืออยู่ นอกจากนี้ ฉลามเสือยังได้ชื่อว่ากินทุกอย่างเเม้กระทั่งฉลามเสือด้วยกันอีกด้วย ของเเปลกๆที่หาพบได้ในท้องฉลามเสือนั้นได้เเก่ ทะเบียนรถ, กระป๋องน้ำมัน, ยางรถยนต์เเละลูกเบสบอล เพราะการกินไม่เลือกหน้าของมันที่เองที่ทำให้ฉลามเสือได้ชื่อว่า “ถังขยะ” ฉลามเสือเป็นฉลามที่กัดเเล้วไม่ว่ายจากไปเหมือนอย่างที่ฉลามขาวทำ ฉลามเสือนั้นปรกติจะยาวประมาณ 3-4.2เมตร เเละหนัก 385-635กก. เเต่บางครั้งตัวผู้สามารถยาวได้ถึง 4.5เมตรเเละตัวเมีย 5.5เมตร ซึ่งบางทีก็สูสีกับฉลามขาวเลยทีเดียว ฉลามเสือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีบันทึกมานั้นเป็นตัวเมียที่ถูกจับเมื่อปี 2500 ซึ่งยาว 7.4เมตรเเละหนัก 3110กก. สีของฉลามเสืออาจจะมีไปตั้งเเต่ฟ้าจนถึงเขียวอ่อน เเละท้องสีขาวหรือเหลืองอ่อน ลายเสือของฉลามเสือนั้นจะเห็นได้เด่นชัดที่สุดในตัวลูกเเละจะจางลงเมื่อโต ฉลามเสือมีหัวรูปลิ่มซึ่งช่วยให้มันหมุนตัวได้เร็ว ร่างกายส่วนบนของฉลามเสือนั้นประกอบไปด้วยรูเล็กๆที่ช่วยในการตรวจจับสนามไฟฟ้า นอกจากนี้ มันยังมีเส้นข้างลำตัวที่ช่วยในการตรวจจับความเคลื่อนไหวเเละกระจกตาที่ช่วยในการมองเห็น การปรับตัวทั้งหมดนี้ช่วยให้ฉลามเสือสามารถหาอาหารในความมืดเเละตรวจจับเหยื่อที่ซ่อนอยู่ ได้ ฉลามเสือยังมีครีบยาวที่ช่วยในการทรงตัวในขณะที่ว่ายน้ำ เเละครีบหางบนที่ยาวนั้นก็ช่วยเพิ่มสปีดในการว่ายน้ำของมัน ฟันของฉลามเสือนั้นถูกออกเเบบมาเพื่อตัดผ่านเนื้อ, กระดูกเเละของเเข็งๆอย่างกระดองเต่า ซึ่งฟันของฉลามเสือนั้นจะงอกออกมาทดเเทนฟันที่หลุดไปเรื่อยๆ
Box Jellyfish แมงกะพรุนกล่อง (box jellyfish) ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักจะสร้างพิษอันทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัวเพื่อให้เหยื่อ เช่น ปลา หรือ กุ้งหมดสติหรือเสียชีวิตทันทีเพื่อไม่ให้การดิ้นรนหลบหนีของเหยื่อสร้างความเสียหายให้กับหนวดที่แสนบอบบางของมัน พิษของแมงกะพรุนกล่องถือว่าเป็นหนึ่งในพิษที่เป็นอันตรายที่สุดในโลกซึ่งมีพิษในการโจมตีหัวใจ ระบบประสาท และเซลล์ผิวหนัง พิษนี้จะสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มีรายงานว่าเหยื่อที่เป็นมนุษย์จะเกิดอาการช็อคและจมน้ำหรือเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวก่อนที่จะขึ้นถึงฝั่งด้วยซ้ำ ผู้รอดชีวิตจะมีอาการเจ็บปวดอยู่หลายสัปดาห์และมักจะมีความหวาดผวาอย่างมากในบริเวณที่สัมผัสกับหนวดแมงกะพรุน แมงกะพรุนกล่องมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวต่อทะเล หรือนักพ่นพิษแห่งท้องทะเล มักอาศัยอยู่ในน้ำตามแนวชายฝั่งของออสเตรเลียตอนเหนือและทั่วอินโดแปซิฟิก มีสีฟ้าอ่อน โปร่งใส และได้ชื่อนี้มาจากรูปร่างที่เหมือนลูกบาศก์ มีหนวดมากถึง 15 เส้นที่งอกออกมาจากแต่ละมุมของช่วงตัวและสามารถยืดยาวได้ถึง 10 ฟุต (3 เมตร) หนวดแต่ละเส้นจะมีเซลล์พิษอยู่ประมาณ 5,000 เซลล์ซึ่งไม่ได้ถูกกระตุ้นโดยการสัมผัสแต่โดยการพบสารเคมีจากชั้นผิวภาพนอกของเหยื่อ แมงกะพรุนกล่องเป็นสายพันธุ์ที่พัฒนาอย่างก้าวไกลกว่าแมงกะพรุนทั่วไป ด้วยการพัฒนาความสามารถในการเคลื่อนที่มากกว่าการล่องลอยโดยการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วถึงสี่น็อตท่ามกลางทะเล แมงกะพรุนกล่องมีดวงตาเกาะกลุ่มกันหกกลุ่มอยู่บนทั้งสี่ด้านของลำตัว แต่ละกลุ่มจะมีดวงตาหนึ่งคู่ซึ่งมีเลนส์ตา เรตินา ตาดำและแก้วตาที่มีประสิทธิภาพสูง แม้ว่าจะไม่มีระบบประสาทส่วนกลาง นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่าแมงกะพรุนพวกนี้มีกระบวนการในการมองเห็นอย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น