วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

มหาสมุทรเเปซิฟิก



มหาสมุทรแปซิฟิก

 -มหาสมุทรแปซิฟิก (อังกฤษPacific Ocean - ตั้งชื่อโดย เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ว่า Mare Pacificum เป็นภาษาละติน แปลว่า peaceful sea - จากภาษาฝรั่งเศส pacifique (ปาซีฟีก) หมายถึง "สงบสุข") คือ ผืนน้ำที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ประมาณ 180 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 1 ใน 3 ของพื้นที่ผิวทั้งหมดของโลก ความยาวในแนวลองจิจูดมีระยะทางประมาณ 15,500 กิโลเมตร จากทะเลเบริงในเขตอาร์กติกที่อยู่ทางเหนือจรดริมฝั่งทะเลรอสส์ในแอนตาร์กติกาที่อยู่ทางใต้ มหาสมุทรแปซิฟิกมีด้านที่กว้างที่สุดตามแนวตะวันออก-ตะวันตก อยู่ ณ บริเวณละติจูด 5 องศาเหนือ ด้วยความยาวประมาณ 19,800 กิโลเมตร จากอินโดนีเซียถึงชายฝั่งโคลอมเบีย สุดเขตด้านตะวันตก คือ ช่องแคบมะละกา จุดที่ลึกที่สุดในโลก คือ ร่องลึกมาเรียนา (Mariana Trench) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก จุดที่ลึกที่สุดวัดได้ 10,911 เมตร(35,798 ฟุต)มหาสมุทรแปซิฟิกมีเกาะอยู่ประมาณ 25,000 เกาะ (มากกว่าเกาะในมหาสมุทรอื่น ๆ ที่เหลือรวมกัน) ส่วนใหญ่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร
ริมมหาสมุทรประกอบด้วยทะเลจำนวนมาก ที่สำคัญ คือ ทะเลเซเลบีส ทะเลคอรัล ทะเลจีนตะวันออก ทะเลญี่ปุ่น ทะเลจีนใต้ ทะเลซูลู ทะเลแทสมันและทะเลเหลือง ทางด้านตะวันตก ช่องแคบมะละกาเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย ส่วนทางด้านตะวันออก ช่องแคบมาเจลลันเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติก
มหาสมุทรแปซิฟิกมีพื้นที่ผิวประมาณ 70,722,600 ตารางไมล์ ความเค็มประมาณ33-37ส่วนต่อพันส่วนกระแสน้ำที่สำคัญของ มหาสมุทรแปซิฟิกคือ กระแสน้ำเย็นฮัมโบลต์ (เปรู) กระแสน้ำอุ่นศูนย์สูตร กระแสน้ำเย็นแคลิฟอร์เนีย กระแสน้ำอุ่นอะแลสกา และกระแสน้ำอุ่นคุโระชิโอะ (กุโรชิโว)
มหาสมุทรแปซิฟิก










-ประเทศที่อยู่ในมหาสมุทรเเปซิฟิก
  ที่ตั้ง ประเทศในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิก หรือดินแดนโอเชียเนียมีพื้นที่รวมกันประมาณ 536,308 ตารางกิโลเมตร กลุ่มของหมู่เกาะในโอเชียเนียจำแนกได้เป็น 3 กลุ่ม ซึ่งประกอบด้วยประเทศเอกราช 12 ประเทศ
  1. ไมโครนีเซีย หมายถึง หมู่เกาะขนาดเล็กในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนเหนือของเส้นศูนย์สูตร มีพื้นที่รวมกันประมาณ 8,328 ประกอบด้วย ประเทศเอกราช 5  ประเทศ ได้แก่ สหพัธรัฐ ไมโครนีเซีย สาธารณรัฐหมู่เกาะมาแชลล์ สาธารณรัฐนาอูรู สาธารณรัฐปาเลา และสาธารณรัฐคิริบาติ  (หรือคิริบาส)
  2. เมลานีเซีย เป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนใต้ของเส้นศูนย์สูตร มีพื้นที่รวมประมาณ 524,306 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยประเทศเอกราช 4 ประเทศ ได้แก่ ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน สาธารณรัฐวานูอาตู และสาธารณะรัฐฟิจิ
  3. โพลินีเซีย เป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรแปรซิฟิกที่อยู่ห่างจากทวีปออสเตรเลียมากที่สุดมีพื้นที่ประมาณ 3,674 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยประเทศเอกราช 3 ประเทศ ได้แก่ ตูวาลู ราชอาณาจักรตองกา และรัฐเอกราชซามัว
-ลักษณะภูมิประเทศของประเทศในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิก
  1. ที่ตั้งของหมู่เกาะส่วนใหญ่อยู่ตามแนวรอยต่อของเปลือกโลก มีการบีบอัดของเปลือกโลกจนกลายเป็นเทือกเขาสูงในเกาะต่างๆ มีหินที่มีอายุน้อย และมีภูเขาไฟที่ยังทรงพลังอีกหลายแห่ง
  2. หมู่เกาะภูเขาไฟ มีเกาะเล็กๆ จำนวนมากเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟจากพื้นมหาสมุทรแปซิฟิก
-สภาพภูมิอากาศของประเทศในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิก
  1. ตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศร้อนชื้น มีฝนตกชุกเกือบตลอดทั้งปี มีปริมาณฝนสูง อากาศไม่ร้อนมากนัก เนื่องจากได้รับอิทธิพลความชื้นจากทะเล
  2. ฤดูกาลมีเด่นเพียง 2 ฤดู คือฤดูร้อนกับฤดูฝน ไม่มีฤดูหนาวชัดเจน
-ทรัพยากรธรรมชาติ
ป่าไม้ ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบชื้น หรือป่าฝนเขตร้อนชื้นสำหรับประเทศปาปัวนิวกินี มีทั้งป่าไม้ผลัดใบและป่าไม้ไม่ผลัดใบ รวมทั้งป่าชายเลน
แร่ธาตุ มีแร่ทองคำและทองแดงในประเทศปาปัวนิวกินี แร่ฟอสเฟตในประเทศนาอูรู
ดิน ดินในประเทศปาปัวนิวกินี ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์นัก เพราะมีฝนตกชุก ส่วนในหมู่เกาะอื่นๆ เป็นดินภูเขาไฟจึงมีความอุดทสมบูรณ์สูง

ข่าวสารเกี่ยวกับมหาสมุทรเเปซิฟิก

ข่าวสารเกี่ยวกับมหาสมุทรเเปซิฟิก

บีบีซีนิวส์ระบุว่าทีมนักวิทยาศาสตร์รายงานการค้นพบลงวารสารเนเจอร์จีโอไซน์ (Nature Geoscience) ระบุว่าภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่สุดในโลกนี้คือ ทามู แมสซีฟ (Tamu Massif) โดยมีพื้นที่ 310,000 ตารางกิโลเมตร เทียบเท่าภูเขาไฟโอลิมปัสมอนส์ (Olympus Mons) บนดาวอังคาร ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ และภูเขาไฟที่ซ่อนตัวอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิกนี้ยังชิงความใหญ่ที่สุดบนโลกจากภูเขาไฟมัวนาโลอา (Mauna Loa) 

       

       ทามูแมสซีฟตั้งอยู่ใต้ทะเลลงไป 2 กิโลเมตร บนที่ราบสูงใต้น้ำที่ชื่อว่า แชตสกายไรส์ (Shatsky Rise) ที่อยู่ห่างจากญี่ปุ่นไปทางตะวันออก 1,600 กิโลเมตร และก่อกำเนิดขึ้นมาบนโลกเมื่อ 145 ล้านปีก่อน ขณะที่ลาวาปริมาณมหาศาลไหลปะทุออกจากศูนย์กลางภูเขาไฟ เพื่อก่อตัวเป็นลักษณะคล้ายโล่ ซึ่งนักวิจัยกำลังสงสัยว่าภูเขาไฟใต้น้ำนี้เคยโผล่พ้นระดับน้ำทะเลระหว่างที่ยังครุกรุ่นหรือไม่ แต่ดูเหมือนตอนนี้ภูเขาไฟดังกล่าวจะไม่ปะทุอีกแล้ว

       

       “ขีดเส้นใต้ว่า เราคิดว่าทามูแมสซีฟถูกสร้างขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ ในแง่ธรณีวิทยาเมื่อหลายล้านปีก่อน และดับสนิทตั้งแต่นั้น ในมุมหนึ่งที่น่าสนใจคือมีผืนดินที่ราบสูงใต้มหาสมุทรอีกมากที่เคยปะทุขึ้นระหว่างยุคครีเตเชียส เมื่อ 145-65 ล้านปีก่อน แต่เราก็ไม่เห็นที่ราบสูงเหล่านั้นเลย นักวิทยาศาสตร์อยากจะรู้ว่าทำไม” บีบีซีนิวส์ระบุคำพูกของ ศ.วิลเลียม ซาเกอร์ (Prof.William Sager) จากมหาวิทยาลัยฮุสตัน (University of Houston) สหรัฐฯ ผู้ร่วมวิจัยครั้งนี้และได้ให้ความเห็นแก่เอเอฟพี
       
       ศ.ซาเกอร์เริ่มศึกษาโครงสร้างของภูเขาไฟดังกล่าวเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าภูเขาไฟลูกนี้เป็นภูเขาไฟลูกเดียวหรือยังมีอีกหลายลูกอยู่ทั่วโลก และเมื่อเทียบกับโอลิมปัสมอนส์บนดาวอังคารที่มีฐานไม่ลึกมาก ทามูแมสซีฟมีฐานที่ลึกลงไปในเปลือกโลก 30 กิโลเมตร ซึ่งเขาเชื่อว่ายังมีภูเขาไฟขนาดมหึมาอีกมาก ซ่อนตัวอยู่ตามที่ราบสูงใต้มหาสมุทรที่มีอยู่อีกหลายสิบแห่งทั่วโลก
       
       “เราไม่มีข้อมูลที่จะเข้าใจถึงภายในและรู้ถึงโครงสร้างของที่ราบสูงเหล่านั้น แต่จะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับผม หากพบว่ายังมีภูเขาไฟเหมือนทามูอยู่ที่อื่นอีก และตามจริงแผ่นที่ราบสูงขนาดใหญ่ที่สุดคือที่ราบสูงออนตงชวา (Ontong Java plateau) ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรในแปซิฟิก ทางตะวันออกของหมู่เกาะโซโลมอน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าทามู และมีขนาดเท่ากับฝรั่งเศส” ศ.ซาเกอร์กล่าว
ภูเขาไฟใหญ่สุดในระบบสุริยะซ่อนตัวใต้มหาสมุทรแปซิฟิก

แผนภาพแสดงขนาดภูเขาไฟทามูแมสซีฟที่ซ่อนตัวอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก (บีบีซีนิวส์)

สัตว์น้ำที่หายากเเละอาศัยอยู่ในมหาสมุทรเเปซิฟิก

-สัตว์น้ำที่หายากเเละอาศัยอยู่ในมหาสมุทรเเปซิฟิก

             เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังอาศัยอยู่ในทะเล  เม่นทะเลเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้าไม่ดุร้าย ด้านที่เกาะกับพื้นเป็นปาก ทวารหนักอยู่กลางลำตัวด้านบนสุด เม่นทะเลจะมีหนามสองขนาด หนามขนาดยาวใช้ในการผลักดันพื้นแข็งขุดคุ้ยสิ่งต่างๆหรือช่วยในการฝังตัว หนามเล็กสั้นใช้ยึดเกาะเวลาปีนป่าย พวกมันอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆตามพื้นทราย ซอกหิน แนวหินประการัง และใต้ท้องทะเลระดับลึกๆ ในพื้นที่บริเวณอ่าวไทยพบเม่นทะเลกระจายอยู่ทั่วไป เม่นทะเลมักออกหากินในเวลากลางคืน กลางวันอาจพบได้เช่นเดียวกัน อาหารของเม่นทะเล คือสาหร่าย สัตว์ที่ตายแล้ว และสัตว์ไม่มีกระดูก


               ปลาไวเปอร์นั้นก็จะเป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะที่มรความคล้ายคลึงกันกับเข้มยาวๆ และในส่วนของขากรรไกรในส่วนล่างนั้นก็จะมีการเปิด และปิดเหมือนกับบานพับนั่นเอง ซึ่งเจ้าปลาไวเปอร์นี้นั้นก็จะเป็นปลาประหลาดทะเลนี้นั้นก็จะมักอยู่ในน่านน้ำที่อุ่นๆ ในเขตร้อน และถือได้ว่าที่เหล่านั้นจะเป็นที่ล่าเหยื่อของมัน ซึ่งมันก็จะทำการฝังเขี้ยวลงไปในร่างกายของเหยื่อ เพื่อที่จะทำให้เหยื่อนั้นหยุดการเคลื่อนไหว และทำให้มันจับกินได้ง่าย     
       ทากทะเล (อังกฤษ: Nudibranch, Sea slug) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกมอลลัสกา เช่นเดียวกับหอย และหมึก จัดอยู่ในชั้นหอยฝาเดี่ยว ในอันดับย่อย Nudibranchia
ทากทะเล มีลักษณะเด่น คือ ไม่มีเปลือกห่อหุ้มลำตัว เพราะเปลือกลดรูปจนมีขนาดเล็กคลุมตัวไม่มิด หรือไม่มีเปลือกเลย ทากทะเลส่วนใหญ่มีสีสวยสดงดงาม บางชนิดมีหลายสีบนตัวเดียวกัน และสามารถปรับสีของตัวให้เข้ากับสภาพของแหล่งอาศัย สีที่ฉูดฉาดของทากทะเลทำให้สัตว์อื่นหลีกเลี่ยงที่จะกินเป็นอาหาร เพราะทากทะเลจะสร้างสารเคมีที่เป็นพิษสะสมไว้ตามผิว เพื่อป้องกันตัว บางชนิดมีอวัยวะช่วยหายใจอยู่ทางด้านบนของหัวหรือลำตัว ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นเส้น เป็นกระจุก หรือเป็นแผ่น หรือคล้ายเขา และเป็นสัตว์ที่ไม่มีตาสำหรับการมองเห็น ส่วนมากอาศัยอยู่ในแนวปะการัง และบริเวณใกล้เคียง กินอาหารพวกสาหร่าย, ฟองน้ำ, ดอกไม้ทะเล, ปะการังอ่อน, กัลปังหา และเพรียงหัวหอม ทั่วโลกพบประมาณ 2,000 ชนิด ในน่านน้ำไทยสำรวจพบประมาณ 100 ชนิด เช่น ทากเปลือย เป็นต้น
ถึงแม้ว่าเจ้าแตงกวาทะเละเหมือนสัตว์ที่ใช้ชีวิตง่ายๆคลานไปทั่วพื้นทะเลอย่างช้าๆ   เจ้านี้ก็มีความลับดำมืดอยู่อย่างนึงซึ่งก็คือการปล่อยสารเคมีพิษชื่อโฮโลธูรินออกมาเมื่อโดนรบกวนหรือทำร้าย   ซึ่งสารเคมีนี้สามารถฆ่าหรือทำให้สัตว์แถวนั้นขยับร่างกายไม่ได้


มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนปลาไหลทั่วไป ไม่มีครีบอก ครีบหลังเชื่อมต่อกับครีบก้นและครีบหาง โดยมีจุดเด่นร่วมกันคือ มีส่วนปากที่แหลม ไม่มีเกล็ดแต่มีหนังขนาดหนาและเมือกลื่นแทน เหงือกของปลาไหลมอเรย์ยังลดรูป เป็นเพียงรูเล็ก ๆ อยู่ข้างครีบอกที่ลดรูปเหมือนกัน เลยต้องอ้าปากช่วยหายใจเกือบตลอดเวลา คล้ายกับการที่อ้าปากขู่ นอกจากนี้แล้วภายในกรามยังมีกรามขนาดเล็กซ้อนกันอยู่ข้างใน ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงคอหอย แต่จะออกมาซ้อนกับกรามใหญ่เมื่อเวลาอ้าปาก ใช้สำหรับจับและขบกัดกินอาหารไม่ให้หลุด
ปลาไหลมอเรย์เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน โดยการล่าเหยื่อด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทางกลิ่น ที่เป็นแท่งเล็ก ๆ ยื่นอยู่ตรงปลายปาก 2 แท่ง คล้ายจมูก ซึ่งอวัยวะส่วนนี้มีความไวต่อกลิ่นมาก โดยเฉพาะกลิ่นคาวแบบต่าง ๆ เช่น กลิ่นเลือดหรือกลิ่นของสัตว์ที่บาดเจ็บมีบาดแผล อาหารได้แก่ ปลาทั่วไป รวมถึงสัตว์ที่มีกระดองแข็งเช่น กุ้งกั้งปู รวมถึงหมึกด้วย
โดยปกติแล้วปลาไหลมอเรย์จะอาศัยอยู่ตามโพรงหินหรือซอกปะการังในแนวปะการัง โดยยื่นแต่เฉพาะส่วนหัวโผล่ออกมาราว 1/4 ของความยาวลำตัว พร้อมกับอ้าปากส่ายหัว เพื่อป้องกันถิ่นที่อยู่อาศัยและหาเหยื่อ ที่จะออกมาว่ายน้ำนั้นจะเป็นช่วงเวลากลางคืนที่หาอาหาร
ปลาไหลมอเรย์มีกรามที่แข็งแรงและฟันที่แหลมคม แม้จะมีหน้าตาน่ากลัว แต่ไม่ใช่เป็นปลาที่ดุร้าย กลับกันกลับเป็นปลาที่รักสงบ แต่จะจู่โจมใส่ผู้ที่บุกรุก โดยหลายครั้งที่นักประดาน้ำไปเผลอรบกวนโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็อาจถูกกัดเป็นแผลเหวอะหวะถึงขั้นนิ้วขาดได้ เพราะฟันที่แหลมคมและการกัดที่ไม่ปล่อย และอีกช่วงที่ปลาไหลมอเรย์จะดุร้าย คือ ในฤดูผสมพันธุ์ 
ปลาไหลมอเรย์ มีทั้งหมดราว 70 ชนิด พบในทะเลเขตร้อนและอบอุ่นทั่วโลก ส่วนใหญ่มีสีสันและลวดลายสวยงามแตกต่างกันออกไปตามแตค่ละชนิดหรือสกุล แบ่งออกเป็น 2 วงศ์ย่อย ในบางชนิดที่มีขนาดเล็ก จะไม่ความยาวไม่เกิน 2 ฟุตและอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ขณะที่ชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Gymnothorax javanicus) ยาวได้ถึง 3 เมตร น้ำหนัก 36 กิโลกรัม

สำหรับ แฟงค์ทูธนั้นก็จะเป็นปลาที่มีรูปร่างที่น่าสยดสยองมากเลย ซึ่งปลาแฟงค์ทูธนั้นก็จะอาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึก และถึงแม้ว่ารูปร่างของมันนั้นจะมีรูปร่างเหมือนกันอย่างกับสัตว์ประหลาดนั้น แต่ว่าเมื่อมันมีการโตเต็มวัยนั้นมันก็จะมีความยาวเพียงแค่ 6 นิ้วเท่านั้น และลำตัวนั้นจะสั้นแต่ว่าจะมีหัวที่มีขนาดใหญ่ เป็นปลาที่มีฟันที่แหลมคมและยาว เหมือนกับเขี้ยวที่เรียงตัวกันอยู่ในปากที่มีขนาดใหญ่นั่นเอง แฟงค์ทูธ นั้นก็จะเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในใต้ทะเลน้ำลึกลงไปถึง 16,000 ฟุตเลยทีเดียว และด้วยความลึกขนาดนี้นั้นก็จะทำให้แรงดันน้ำนั้นมีระดับที่สูงและเย็นมากจนแทบที่จะเป็นน้ำแข็งเลยทีเดียว และในเรื่องของอาหารของแฟงค์ทูธนั้นก็จะหาได้ยาก มันจึงทำให้แฟงค์ทูธนั้นกินทุกอย่างที่ขว้างหน้าที่หากินได้ และสำหรับอาหารส่วนใหญ่แล้วนั้นก็จะตกลงมาจากทะเลด้านบนซึ่งปลาทะเลแฟงค์ทูธนี้นั้นก็จะสามารถที่จะพบเจอกับพวกมันได้ทั่วโลก ในเขตทภูมิภาคที่อบอุ่นและร้อนชื้น และก็ยังจะรวมไปถึงทวีปออสเตรเลียด้วยนั่นเอง
 Lionfish ปลาสิงโต (Lionfish) เป็นปลาทะเลที่มีพิษ ในวงศ์ Scorpaenidae ภาษาละตินหมายถึง แมงป่อง มีหลายสปีชีส์ ใน 2 จีนัส คือ Pterois และ Dendrochirus มีครีบยาวและแตกแขนงออกมากมาย และมีลวดลายทางสีแดง สีน้ำตาล สีดำ หรือสีขาว อาศัยในทะเลเขตร้อนแถบอินโด-แปซิฟิก ค.ศ. 2003 ถูกพบในแนวปะการังเขตอบอุ่นทางตะวันออกของมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลแคริบเบียน
       

 Tiger Shark ฉลามเสือ (Tiger shark) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Galeocerdo cuvier ฉลามเสือเป็นฉลามน้ำอุ่นที่อพยพเเละออกลูกเป็นตัวชนิดเดียวในวงศ์ Galeocerdo ฉลามเสือเป็นนักล่าขนาดใหญ่ที่อาจจะยาวได้ถึง 5เมตรซึ่งทำให้มันเป็นหนึ่งในฉลามขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งโดยปรกติเเล้ว มันจะโตเต็มวัยเมื่อมีความยาวประมาณ 2-3เมตร ฉลามเสือนั้นสามารถพบได้ในทะเลเขตร้อนทั่วไป ซึ่งพบมากในมหาสมุทรเเปซิฟิกตอนกลาง ฉลามเสือนั้นจะอยู่ในเส้นศูนย์สูตรตลอดฤดูหนาว เเละมักจะอยู่ในน้ำลึกที่บางทีอาจจะลึกได้ถึง 900เมตร เเต่บางครั้ง ฉลามเสือก็สามารถพบได้ในที่ไกลๆเช่น มหาสมุทรเเปซิฟิกตะวันตก, ญี่ปุ่นเหนือหรือนิวซีเเลนด์ ชื่อของฉลามเสือนั้นได้มาจากลายข้างตัวที่มีลักษณะเหมือนเสือซึ่งจะจางลงเมื่อโตขึ้น ฉลามเสือนั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่อันตรายต่อมนุษย์ที่สุดถึงเเม้ว่าจำนวนการโจมตีของมันนั้นจะต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ ฉลามเสือเป็นฉลามที่โจมตีเเละฆ่าคนบ่อยเป็นอันดับที่สองรองจากฉลามขาว เพราะความที่ฉลามเสือชอบว่ายน้ำไปในปะการังตื้น, ท่าเรือเเละลำคลองเพื่อตามล่าเหยื่อนี้เองที่เป็นสาเหตุของการโจมตี ถึงเเม้ว่าฉลามเสือจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ มันก็ยังได้รับสถานะเสี่ยงต่อการใกล้สูญพันธุ์ด้วยเหตุผลมาจากการล่าหูฉลาม, การประมงที่เกินพอดีเเละการล่าเอาตับที่มีไวตามิน Aสูง ฉลามเสือนั้นเป็นนักล่าสันโดษชั้นยอดที่ส่วนมากจะหากินตอนกลางคืน อาหารของมันนั้นมีหลากหลาย เช่น สัตว์กระดอง, ปลา, เเมวน้ำ, นก, ฉลามขนาดเล็กกว่า, หมึก, เต่า, งูทะเล, พะยูน, หอย, กระเบน, ซากวาฬหรือตัววาฬเองเเละโลมาซึ่งจะหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำไปในพื้นที่ๆมีฉลามเสืออยู่ นอกจากนี้ ฉลามเสือยังได้ชื่อว่ากินทุกอย่างเเม้กระทั่งฉลามเสือด้วยกันอีกด้วย ของเเปลกๆที่หาพบได้ในท้องฉลามเสือนั้นได้เเก่ ทะเบียนรถ, กระป๋องน้ำมัน, ยางรถยนต์เเละลูกเบสบอล เพราะการกินไม่เลือกหน้าของมันที่เองที่ทำให้ฉลามเสือได้ชื่อว่า “ถังขยะ” ฉลามเสือเป็นฉลามที่กัดเเล้วไม่ว่ายจากไปเหมือนอย่างที่ฉลามขาวทำ ฉลามเสือนั้นปรกติจะยาวประมาณ 3-4.2เมตร เเละหนัก 385-635กก. เเต่บางครั้งตัวผู้สามารถยาวได้ถึง 4.5เมตรเเละตัวเมีย 5.5เมตร ซึ่งบางทีก็สูสีกับฉลามขาวเลยทีเดียว ฉลามเสือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีบันทึกมานั้นเป็นตัวเมียที่ถูกจับเมื่อปี 2500 ซึ่งยาว 7.4เมตรเเละหนัก 3110กก. สีของฉลามเสืออาจจะมีไปตั้งเเต่ฟ้าจนถึงเขียวอ่อน เเละท้องสีขาวหรือเหลืองอ่อน ลายเสือของฉลามเสือนั้นจะเห็นได้เด่นชัดที่สุดในตัวลูกเเละจะจางลงเมื่อโต ฉลามเสือมีหัวรูปลิ่มซึ่งช่วยให้มันหมุนตัวได้เร็ว ร่างกายส่วนบนของฉลามเสือนั้นประกอบไปด้วยรูเล็กๆที่ช่วยในการตรวจจับสนามไฟฟ้า นอกจากนี้ มันยังมีเส้นข้างลำตัวที่ช่วยในการตรวจจับความเคลื่อนไหวเเละกระจกตาที่ช่วยในการมองเห็น การปรับตัวทั้งหมดนี้ช่วยให้ฉลามเสือสามารถหาอาหารในความมืดเเละตรวจจับเหยื่อที่ซ่อนอยู่ ได้ ฉลามเสือยังมีครีบยาวที่ช่วยในการทรงตัวในขณะที่ว่ายน้ำ เเละครีบหางบนที่ยาวนั้นก็ช่วยเพิ่มสปีดในการว่ายน้ำของมัน ฟันของฉลามเสือนั้นถูกออกเเบบมาเพื่อตัดผ่านเนื้อ, กระดูกเเละของเเข็งๆอย่างกระดองเต่า ซึ่งฟันของฉลามเสือนั้นจะงอกออกมาทดเเทนฟันที่หลุดไปเรื่อยๆ

Box Jellyfish แมงกะพรุนกล่อง (box jellyfish) ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักจะสร้างพิษอันทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัวเพื่อให้เหยื่อ เช่น ปลา หรือ กุ้งหมดสติหรือเสียชีวิตทันทีเพื่อไม่ให้การดิ้นรนหลบหนีของเหยื่อสร้างความเสียหายให้กับหนวดที่แสนบอบบางของมัน พิษของแมงกะพรุนกล่องถือว่าเป็นหนึ่งในพิษที่เป็นอันตรายที่สุดในโลกซึ่งมีพิษในการโจมตีหัวใจ ระบบประสาท และเซลล์ผิวหนัง พิษนี้จะสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มีรายงานว่าเหยื่อที่เป็นมนุษย์จะเกิดอาการช็อคและจมน้ำหรือเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวก่อนที่จะขึ้นถึงฝั่งด้วยซ้ำ ผู้รอดชีวิตจะมีอาการเจ็บปวดอยู่หลายสัปดาห์และมักจะมีความหวาดผวาอย่างมากในบริเวณที่สัมผัสกับหนวดแมงกะพรุน แมงกะพรุนกล่องมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวต่อทะเล หรือนักพ่นพิษแห่งท้องทะเล มักอาศัยอยู่ในน้ำตามแนวชายฝั่งของออสเตรเลียตอนเหนือและทั่วอินโดแปซิฟิก มีสีฟ้าอ่อน โปร่งใส และได้ชื่อนี้มาจากรูปร่างที่เหมือนลูกบาศก์ มีหนวดมากถึง 15 เส้นที่งอกออกมาจากแต่ละมุมของช่วงตัวและสามารถยืดยาวได้ถึง 10 ฟุต (3 เมตร) หนวดแต่ละเส้นจะมีเซลล์พิษอยู่ประมาณ 5,000 เซลล์ซึ่งไม่ได้ถูกกระตุ้นโดยการสัมผัสแต่โดยการพบสารเคมีจากชั้นผิวภาพนอกของเหยื่อ แมงกะพรุนกล่องเป็นสายพันธุ์ที่พัฒนาอย่างก้าวไกลกว่าแมงกะพรุนทั่วไป ด้วยการพัฒนาความสามารถในการเคลื่อนที่มากกว่าการล่องลอยโดยการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วถึงสี่น็อตท่ามกลางทะเล แมงกะพรุนกล่องมีดวงตาเกาะกลุ่มกันหกกลุ่มอยู่บนทั้งสี่ด้านของลำตัว แต่ละกลุ่มจะมีดวงตาหนึ่งคู่ซึ่งมีเลนส์ตา เรตินา ตาดำและแก้วตาที่มีประสิทธิภาพสูง แม้ว่าจะไม่มีระบบประสาทส่วนกลาง นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่าแมงกะพรุนพวกนี้มีกระบวนการในการมองเห็นอย่างไร

ปะการัง

-ปะการัง

ปะการัง หรือ กะรัง เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล จัดอยู่ในชั้นแอนโธซัวและจัดเป็นพวกดอกไม้ทะเล มีขนาดเล็กเรียกว่าโพลิฟ แต่จะอาศัยรวมกันอยู่เป็นโคโลนีที่ประกอบไปด้วยโพลิฟเดี่ยวๆจำนวนมาก เป็นกลุ่มที่สร้างแนวปะการังที่สำคัญพบในทะเลเขตร้อนที่สามารถดึงสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากน้ำทะเลมาสร้างเป็นโครงสร้างแข็งเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้
หัวของปะการังหนึ่งๆโดยปรกติจะสังเกตเห็นเป็นสิ่งมีชีวิตเดี่ยวๆอันหนึ่ง แต่ที่จริงนั้นมันประกอบขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตเดี่ยวๆขนาดเล็กนับเป็นพันๆโพลิฟโดยในทางพันธุ์ศาสตร์แล้วจะเป็นโพลิฟชนิดพันธุ์เดียวกันทั้งหมด โพลิฟจะสร้างโครงสร้างแข็งที่มีลักษณะเฉพาะของปะการังแต่ละชนิด หัวของปะการังหนึ่งๆมีการเจริญเติบโตโดยการสืบพันธุ์แบบไม่ใช้เพศของโพลิฟเดี่ยวๆ แต่ปะการังก็สามารถสืบพันธุ์ออกลูกหลานโดยการใช้เพศกับปะการังชนิดเดียวกันด้วยการปล่อยเซลล์สืบพันธุ์พร้อมๆกันตลอดหนึ่งคืนหรือหลายๆคืนในช่วงเดือนเพ็ญ
แม้ว่าปะการังจะสามารถจับปลาและสัตว์เล็กๆขนาดแพลงตอนได้โดยใช้เข็มพิษ (เนมาโตซิสต์) ที่อยู่บนหนวดของมัน แต่ส่วนใหญ่แล้วปะการังจะได้รับสารอาหารจากสาหร่ายเซลล์เดียวที่สังเคราะห์แสงได้ที่เรียกว่าซูแซนทาลา นั่นทำให้ปะการังทั้งหลายมีการดำรงชีวิตที่ขึ้นตรงต่อแสงอาทิตย์และจะเจริญเติบโตได้ในน้ำทะเลใสตื้นๆโดยปรกติแล้วจะอาศัยอยู่บริเวณที่มีความลึกน้อยกว่า 60 เมตร ปะการังเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้สร้างโครงสร้างทางกายภาพของแนวปะการังที่พัฒนาขึ้นมาในทะเลเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนอย่างเช่นเกรตแบริเออร์รีฟบริเวณนอกชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์ของประเทศออสเตรเลีย แต่ก็มีปะการังบางชนิดที่ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับสาหร่ายเนื่องจากอยู่ในทะเลลึกอย่างในมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ปะการังสกุล “โลเฟเลีย” ที่อยู่ได้ในน้ำเย็นๆที่ระดับความลึกได้มากถึง 3000 เมตร ตัวอย่างของปะการังเหล่านี้สามารถพบได้ที่ดาร์วินมาวด์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเคพแวร็ธในสก๊อตแลนด์ และยังพบได้บริเวณนอกชายฝั่งรัฐวอชิงตันและที่เกาะเอลิวเตียนของอะแลสกา
พืชที่อยู่ในทะเล

-หญ้าทะเล
     ชีวิตมีจุดกำเนิดขึ้นในทะเล ต่อมาในช่วงปลายของยุค Silurian เมื่อประมาณ 400 ล้านปีมาแล้ว พืชได้วิวัฒนาการเจริญเติบโตขึ้นไปอยู่บนบก และต่อมาประมาณ 25 ล้านปีที่แล้ว พืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียบางชนิดได้มีวิวัฒนาการเจริญเติบโตกลับสู่ลงทะเลอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า หญ้าทะเล บริเวณที่มีหญ้าทะเลขึ้นอยู่ มักเป็นชายฝั่งที่มีคลื่นลมค่อนข้างสงบ และเนื่องจากหญ้าทะเลมีการแพร่กระจายพันธุ์ทั้งแบบอาศัยเพศ คือ การสร้างดอก ผล และเมล็ด และอีกทางหนึ่ง คือ แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกต้นใหม่จากลำต้นใต้ดิน (Rhizome) เช่นเดียวกับการขยายพันธุ์ของหญ้าบนบกทั่วๆ ไป จึงทำให้หญ้าทะเลหลายๆ ชนิด มักจะเจริญงอกงามปะปนกันติดต่อกันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ เรียกกันว่า แหล่งหญ้าทะเล

ชนิดของหญ้าทะเลและการแพร่กระจาย

          หญ้าทะเล เป็นพืชทะเลที่มีดอก จะอยู่ในวงศ์พืชที่มีความสัมพันธ์กับพืชน้ำ วงศ์แรก คือ ไฮโดรคาริตาซีอี(Hydrocharitaceae) มีอยู่ 3 สกุล 11ชนิด คือสกุล Halophila, Thalassia และ Enhalus ส่วนอีกวงศ์หนึ่ง คือ โพตาโมจีตานาซีอี (Potamogetanaceae) มีอยู่ 9 สกุล 34 ชนิด คือ สกุล Phyllospadix, Zostera, Posidonia, Halodule, Thalassodendron, Cymodocea, Syringodium, Amphibolisและ Heterozostera ดังนั้น หญ้าทะเลที่เราพบตามมหาสมุทรต่างๆ ของโลกจึงมี 45 ชนิด
          ส่วนใหญ่ของสกุลและชนิดหญ้าทะเลจะกระจัดกระจายอย่างแน่นอนในเขตร้อน โดยเฉพาะทุกสกุลของหญ้าทะเลที่อยู่ในวงศ์ไฮโดรคาริตาซีอี (Hydrocharitaceae) จะมีลักษณะที่แสดงว่าเป็นพืชในเขตร้อน และวงศ์โพตาโมจีตานาซีอี (Potamogetanaceae) ซึ่งบางสกุลอย่างเช่น Zostera และ Phyllospadix อันเป็นชนิดที่ขึ้นอยู่ในเขตอบอุ่น สำหรับสกุล Posidonia จะอยู่กระจายในเขตที่ ต่ำจากเขตอบอุ่นจนถึงบริเวณถัดจากเขตร้อนเล็กน้อย โดยจะเจริญเติบโตอยู่ได้ทั่วไปในโล กและมีความสามารถอยู่ได้ในทะเลและแหล่งน้ำกร่อยจนกระทั่งเข้ามาในบริเวณน้ำจืด โดยทั่วไปแล้ว หญ้าทะเลจะเจริญได้ดีในเขตร้อนและเขตอบอุ่น มีอยู่เพียง 2-3 ชนิดเท่านั้น ที่สามารถแพร่ขยายขึ้นไปจนถึงเส้นรุ้งสูงๆ ได้ แต่ยังไม่ทราบเหตุผล ว่า ทำไมหญ้าทะเลจึงปรากฎอยู่เพียงชนิดเดียว คือ Heterozostera tasmasiica ที่ชายฝั่งของอเมริกาใต้ ส่วนใหญ่ศูนย์กลางที่เป็นแหล่งที่เกิดของหญ้าทะเล คือ
          บริเวณเขตอบอุ่นแปซิฟิกเหนือ แอตแลนติกเหนือ ทะเลแคริเบียน ตะวันออกของอัฟริกา และเขตร้อนทาง แปซิฟิกตะวันตก หญ้าทะเลมีการแพร่กระจายอย่างอุดมสมบูรณ์ มากในทวีปออสเตรเลีย พบว่า มีหญ้าทะเล 11 สกุล ยกเว้นสกุล Phyllospadix เท่านั้นที่ไม่พบ รวมทั้งหมด 30 ชนิด ตลอดแนวชายฝั่งของทวีป ตั้งแต่ เขตร้อนทางตอนเหนือ ถึงเขตอบอุ่นทางตอนใต้ของ ทวีป ยังพบว่าหญ้าทะเลสกุล Halophila spp. (ยกเว้น H.australis), Cymodocea spp. (ยกเว้น C.angustata), Halodule spp., Thalassia sp., Enhalus และ Thalassodendron sp. มักเจริญเติบโตในเขตร้อน ส่วนใหญ่หญ้าทะเลสกุล Amphibolis spp., Posidonia spp., Thalassodendron sp., Zostera spp. Heterozostera spp.เป็นกลุ่มที่เจริญเติบโตในเขตอบอุ่นของประเทศออสเตรเลีย
          สำหรับชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวไทย และทางฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทยนั้น ปัจจุบันได้มีการสำรวจพบหญ้าทะเล 7 สกุล 12 ชนิด คือ Halophila ovalis, Halophila beccarii, Halophila decipiens, Halophila ovala, Thalassia hemprichii, Enhalus acoroides, Cymodocea rotundata, Cymodocea serrulata, Halodule uninervis, Halodule pinifolia, Syringodium soetifolium และ Ruppia maritima


ระบบนิเวศน์หญ้าทะเล

          บทบาทที่สำคัญที่สุดของหญ้าทะเลในระบบนิเวศน์ คือ การเป็นผู้ผลิต (Producer) ในห่วงโซ่อาหาร ส่วนต่างๆ ของหญ้าทะเลโดยเฉพาะส่วนของใบซึ่งจะเน่าเปื่อยหลังจากตายลง ซากเน่าเปื่อยที่สลายตัวลงเรียกว่า "ดีไทรทัส" และผลผลิตที่ได้จากขบวนการสังเคราะห์แสง หญ้าทะเลจะปล่อยอินทรียสารที่ละลายน้ำได้สู่มวลน้ำและถูกถ่านเทออกไปยังนอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อการหมุนเวียนของคาร์บอนในแหล่งน้ำ โดยจะเป็นอาหารของแพลงค์ตอนพืชและสัตว์ต่อไป
ปลาบางชนิด หอย เม่น และหอยฝาเดียวบางชนิดจะแทะเล็มหญ้าทะเลเป็นอาหาร สัตว์เหล่านี้บางทีไม่ได้ย่อยสารเซลลูโลส แต่มันจะดูดซึมเซลล์ที่อยู่ในใบหญ้าทะเล หรือในสาหร่ายที่เกาะอยู่ตามผิวในเท่านั้น สัตว์ใหญ่ที่กินหญ้าทะเลเป็นอาหารโดยตรง ได้แก่ เต่าทะเล พะยูน และนกเป็ดน้ำ เป็นต้น

ประโยชน์ของหญ้าทะเล

          แหล่งหญ้าทะเลเป็นที่อยู่อาศัยและที่หาอาหารเพื่อการเจริญเติบโตของกุ้ง หอย ปู ปลานานาชนิดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ และมีคุณค่าต่อความสมดุลของระบบนิเวศน์ ขณะเดียวกัน ยังเป็นแหล่งหลบภัยศัตรูจากผู้ล่า ดังนั้น จึงเป็นแหล่งที่เหมาะสำหรับการวางไข่ การอนุบาลของสัตว์ทะเลวัยอ่อน เช่น ปลาเก๋า ปลาตูหนา ปู และกุ้งทะเลหลายชนิด แหล่งหญ้าทะเลจึงเป็นแหล่งทำการประมงชายฝั่งที่สำคัญ ประโยชน์ของแหล่งหญ้าทะเลทางเศรษฐกิจ โดยตรงด้านอื่นนอกจากการประมงแล้ว อาจจะมีอยู่อย่างจำกัด เช่น ชาวอินเดียนตามชายฝั่งทะเลที่เมืองบาจา แคลิฟอร์เนีย นำผลของหญ้า Zoptera ไปใช้ประโยชน์ และในปาปัวนิวกินี ชาวพื้นเมืองจะกินผลของ Enhalus ซึ่งจะมีดอกอย่างกระจัดกระจายเพียง 10% ตลอดทั้งปี และนำส่วนใยสีดำของเส้นขอบใบ Enhalus ที่มีความเหนียวมากสานเป็นตาข่ายใส่ปลา
          ประโยชน์ทางอ้อมของแหล่งหญ้าทะเลที่สำคัญอีกอย่างก็คือ การเป็นเสมือนกำแพงชะลอความรุนแรงของกระแสน้ำที่พัดเข้าสู่ฝั่ง ทำให้อัตราการพังทลายของชายฝั่งลดลง แต่ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเลในบริเวณแหล่งหญ้าทะเล และด้วยทำเลที่แหล่งหญ้าทะเลมักเกิดอยู่ใกล้ชายฝั่ง จึงส่งผลให้แหล่งหญ้าทะเลถูกรบกวนและทำลายได้โดยง่าย การทำการประมงที่ไม่ถูกวิธี เช่น การใช้อวนรุน อวนลาก การปล่อยน้ำเสียจากบ่อเพาะเลี้ยงกุ้ง โรงงานอุตสาหกรรม หรือชุมชนต่างๆ โดยไม่ได้มีการบำบัด การทำเหมืองแร่ตามชายฝั่ง และการทำลายพื้นที่ป่าไม้อันเป็นกิจกรรมที่ทำให้น้ำที่ไหลลงสู่ชายฝั่งมีตะกอนมาก ซึ่งตะกอนและน้ำเสียเหล่านี้เป็นอุปสรรคในการดำรงอยู่ของแหล่งหญ้าทะเล จนในที่สุดก็จะตายไปและเหลือเพียงแต่หาดเลนที่สกปรกนั่นเอง
          ในประเทศไทย ชายฝั่งทะเลของจังหวัดตรัง บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เกาะตะลิบงและเกาะมุก มีแหล่งหญ้าทะเลที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งอาจจะเป็นแหล่งอาหารสำหรับพะยูนและเต่าทะเลที่สมบูรณ์ผืนสุดท้ายของประเทศไทย จึงควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ให้แหล่งหญ้าทะเลนี้คงความสมบูรณ์ต่อไป หากเราสามารถนำความรู้ทางด้านชีววิทยาทางทะเลที่มีอยู่หรือศึกษาค้นคว้าให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติของสัตว์ทั้งสอง ความรู้ที่ได้จะนำมาใช้ประโยชน์ จนสามารถทำฟาร์มเลี้ยงเต่าทะเลและพะยูนในบริเวณแหล่งหญ้าทะเลอย่างจริงจังในอนาคตได้